9 พ.ค. 2549


Egon Schiele
แปลจาก http://www.artchive.com/

Egon Schiele เป็นศิลปินคนหนึ่งที่ถูกจับตามองมากที่สุดในยุคต้น คศ.1900 เขาได้รับอิทธิพลทางศิลปะจาก Gustav Klimt ศิลปินในยุคเดียวกัน แต่ทว่าความสำเร็จของ Egon ช่างสั้นยิ่งนัก เพราะ Egon ได้เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 28 ปีเท่านั้น และเส้นทางแห่งความสำเร็จของ Egon ยังไม่ราบรื่นเท่าที่ควรอีกด้วย Arthur Roessler นักเขียนผู้ให้การสนับสนุน Egon อธิบายถึงลักษณะของ Egon ว่า “เขามีรูปร่างผอมสูง ปราศจากกล้ามเนื้อ ไหล่แคบ มีมือที่ผอมแห้งและนิ้วที่เรียวยาว มีผิวหน้าที่เกรียมแดด ไม่มีร่องรอยของหนวดเครา ทรงผมกะเซิงไม่เป็นระเบียบ หน้าผากเป็นเหลี่ยมสัน มีลักษณะของคนขี้โรค เป็นคนพูดน้อยแต่มีวาจาคมคาย แววตาคมขรึม แต่เป็นเปิดเผย และจริงใจ”

Adolf Schiele บิดาของ Egon ทำงานที่สถานีรถไฟในเมือง Tully ซึ่งเป็นสถานีสำคัญแห่งหนึ่ง ของประเทศออสเตรีย ในปี คศ.1890 Adolf ได้ให้กำเนิดบุตรชาย นั่นก็คีอ Egon และในปี คศ.1901 Egon ได้ย้ายจากเมือง Tully ไปยังเมือง Kerm และ Klostenbreg ตามลำดับเพื่อหาโรงเรียนที่เหมาะสม ในปี 1904 ครอบครัวของ Egon ได้ย้ายตาม Egon มาเนื่องจาก Adolf ผู้เป็นบิดามีสุขภาพทรุดโทรม และเสียชีวิตลง ขณะอายุได้ 54 ปี ยังความเสียใจให้กับ Egon เป็นอย่างมาก ดังจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนถึงลูกพี่ลูกน้องของเขา “ ฉันไม่นึกถึงใครอีกเลย ที่จะแสดงความเสียใจ หรือรำลึกถึงความดีของพ่อ เวลาที่ฉันกลับไปเยี่ยมเมืองที่พ่อเคยอาศัย ฉันก็รู้สึกเสียใจทุกครั้ง ฉันเชื่อในเรื่องของชีวิตอมตะ นั่นเองเป็นเหตุที่งานเขียนของฉันถึงออกมาในลักษณะนั้น เพราะว่าพ่อได้สถิตย์อยู่ในตัวฉันแล้ว และแม่ของฉันผู้น่ารังเกียจ เธอไม่ได้เศร้าเสียใจเลยกลับการจากไปของพ่อแม้แต่น้อย และเธอยังไม่เอาใจใส่ลูกของเธอเลย และก็ไม่รักฉันเท่าที่ควรด้วย การเลี้ยงดูลูกสำหรับเธอนั้น ราวกับต้องพลีชีพแลกเลยทีเดียว”

ในช่วงวัยหนุ่มของ Egon นั้นเขามีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับน้องสาวของเขา “Gerti” .ในลักษณะหมิ่นเหม่ไปในทางชู้สาว ในขณะที่ Egon อายุ 16 และน้องสาวอายุ 12 เขาพาน้องสาวท่องไปยังเมือง Triest โดยนอนร่วมกันห้องคู่เป็นเวลาหลายคืน และอีกหลายครั้งที่เขาและเธอทำลับๆ ล่อๆ สองต่อสองภายในบ้านของเขาเอง

ในปี ค.ศ.1906 Egon ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนศิลปะ ที่กรุงเวียนนา ณ ที่แห่งนั้นเองที่ Egon มีโอกาศได้พบกับ Gustav Klimp ซึ่งเป็นรุ่นพี่ในสถาบันเดียวกัน และ Egon ก็ได้ให้ความนับถือเป็นอย่างมาก ซึ่งตัว Klimp เองก็ชื่นชมในพรสวรรค์ ของ Egon เช่นกัน Klimp ให้การสนับสนุน Egon ด้วยการซื้อภาพ, แลกเปลี่ยนผลงาน,จัดหานางแบบมาให้เขียนรูป ตลอดจนฝากฝัง Egon เข้าทำงานที่ The winter werkstte (workshop งานฝีมือในกรุงเวียนนา) ในปี 1908 ที่นั่น Egon ได้ทำงานเกี่ยวกับการออกแบบ เช่น เสื้อคลุม, รองเท้าสุภาพสตรี, ออกแบบ postcard และไนปีเดียวกันนั้นเองเขาก็ได้แสดงผลงานการออกแบบของเขา ซึ่งเป็นการแสดงผลงานครั้งแรก ณ เมือง Klosterneuberg

ในปีค.ศ. 1909 ภายหลังจากที่ Egon ได้จบการศึกษา เขาได้เช่าแฟลต และ studio ในกรุงเวียนนา พร้อมกับเริ่มทำงานศิลปะ ย่างจริงจัง ในช่วงนี้เอง ที่เขาเริ่มการเขียนภาพของสตรีวัยแรกรุ่น ซึ่งเขามีอิสระมากขึ้น มีโอกาส ทำในสิ่งที่เป็นข้อห้ามในวัยเด็กได้มากขึ้น Egon ได้วาดภาพจากเหล่านางแบบ ไว้มากมาย ซึ่งภาพส่วนใหญ่ล้วนแสดงออก ถึงความรู้สึกทางเพศอย่างรุนแรง ในช่วงเวลาที่ Egon มีชีวิตอยู่นั้น ดูเหมือนเขาต้องการ ถ่ายทอดความรู้สึก ออกสู่สาธารณะชน ถึงแม้นว่าคนในยุคนั้นจะไม่สามารถ รับรู้ได้ทั้งหมด แต่จากภาพถ่ายและข้อความในจดหมาย ก็แสดถึงความทุกข์ระทมอย่างสาหัส และอธิบายถึงความรู้สึก มุ่งร้ายของคนในสังคม ที่มีต่อเขาได้อย่างชัดเจน

ในปี ค.ศ. 1911 Egon ได้พบกับ Wally Neuzill ซึ่งได้ชอบพอกันอยู่ระยะหนึ่ง Wally เป็นหนึ่งในนางแบบที่ Egon สร้างผลงาน ออกมามากที่สุดคนหนึ่ง และเธอเองก็เป็นนางแบบส่วนตัวของ Klimp ด้วย...... หลังจากคบกันอยู่พักหนึ่ง Egon และ Wally ได้ ย้ายมายังเมือง Krumau เพื่ออยู่ร่วมกับครอบครัวของเขา แต่ก็ไม่สามารถ เข้ากับครอบครัวของ Egon ได้ และย้ายต่อมายังเมือง Neulengbach ชึ่งอยู่ห่างจากกรุงเวียนนา ประมาณครึ่งชั่วโมงหากเดินทางโดยรถไฟ หลังจากที่เขาย้อนกลับมาที่เวียนนา studio ของเขากลับกลายเป็นแหล่งมั่วสุม ของเด็กมีปัญหาในระแวกนั้น ทำให้ Egon ถูกสังคมรังเกียจมากขึ้นอีก โดยที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย

ในเดือน เมษายน ปี ค.ศ.1912 Egon ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมและยึดภาพเขียนของเขา ที่ส่อไปในทางลามกอนาจารจำนวนนับร้อยภาพ พร้อมกับถูกคุมขังโดยถูกตั้งข้อกล่าวหา ล่อลวง และกระทำอนาจาร ถึงแม้ว่า ข้อหาล่อลวงจะมีหลักฐานอ่อน Egon ก็ยังคงถูกตั้งข้อกล่าวหาว่า แสดงนิทรรศการศิลปะเชิงสังวาส (Erotic) โดยให้เด็กเข้าชมได้ เขาถูกศาลสั่ง คุมขัง 21 วันพร้อมกับเผางานของ Egon ทิ้งไปจำนวนหนึ่ง....ในระหว่างที่ Egon ถูกจำคุกอยู่นั้น เขาได้เขียนภาพออกมาชุดหนึ่ง เป็นงานภาพเหมือนตัวเอง (self-portraits) ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาผิดเลย ในทางกลับกัน Egon คิดว่า การกำหนดขอบเขต ของการวาดภาพต่างหาก ที่เรียกว่าอาชญากรรม มันเหมือนเป็นการฆ่าเขาทางอ้อม

ในปี ค.ศ.1912 Egonได้เป็นศิลปินรับเชิญในนิทรรศการศิลปะ Sonderbun ณ เมือง Cologn ในที่นี่เขาได้มีโอกาศรู้จักกับ Hans Goltz นายหน้าค้างานศิลปะ ในเมืองมิวนิค ความสัมพันธ์ของทั้งสอง ตั้งอยู่บนผลกำไร และตัวของ Egon เองก็ปรารถนาที่จะขายงานของตน ได้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งดูเหมือน Egon จะยอมรับสิ่งเหล่านั้น ด้วยความภาคภูมิใจ ดังใจความในจดหมาย ที่เขาเขียนถึงแม่ ด้วยความยินดีว่า “เกียรติยศ และความภาคภูมิใจ รวมอยู่ในตัวฉันแล้ว ฉันเหมือนธัญพืช ที่กำลังผลิดอกออกผล ภายหลังจากที่ ผ่านมรสุมอันเลวร้าย แม่จะภูมิใจขนาดไหนนะ ที่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด Egon ผู้นี้”

ในปีค.ศ. 1915 ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็เริ่มต้นขึ้นกับชีวิตของ Egon เขาได้พบกับ Edith ผู้เป็นบุตรสาวของหัวหน้าช่างทำกุญแจ ที่เปิดร้านด้านฝั่งตรงข้ามกับ studio ของเขา และในเดือนเมษายน 1917 Egon ก็ได้บอกเลิก Wally Neuzil แล้วหมั้นกับ Edith แทน ส่วน Wally ได้เข้าทำงานที่หน่วยกาชาด และเสียชีวิดด้วยไข้อีดำอีแดง ในโรงพยาบาลทหารของเมือง Dalmatia ก่อนช่วงคริสมาส ในปี 1917 ส่วน Egon และ Edith ได้สมรสกันในปี 1915 ในปีเดียวกัน หลังจากที่ Egon สมรสได้ 4 วันเขาได้รับหมายทหาร เรียกให้เข้าประจำการ เขาถูกจัดให้อยู่รวมกับ เชลยศึกชาวรัสเซีย ในตำแห่งเสมียน ในค่ายกักกัน ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรีย ในปี 1914 Egon ได้เขาได้ย้ายมาประจำยังหน่วยกองหน้า โดยประจำอยู่ในฝ่ายจัดหาเสบียง ให้กับทหาร ซึ่งถือเป็นตำแน่งที่สบายในขณะนั้น
แม้ว่า Egon จะเข้าประจำการในกองทัพ แต่ชื่อเสียงในฐานะศิลปินรุ่นใหม่ก็หาได้ลดน้อยลงไม่ เขาเป็นหนึ่งในศิลปินรุ่นใหม่ที่อายุน้อยที่สุด และยังได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลให้แสดงงานในต่างประเทศหลายครั้งเช่น ใน กรุง Stokhome และ กรุง Kopenhagen เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ในการเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจของประเทศออสเตรียอีกด้วย

ในปี ค.ศ.1912 Egonได้รับเชิญให้เข้าร่วมในการแสดงศิลปกรรม “Sezession ครั้งที่ 49” โดยเขาได้ออกแบบ Poster ขึ้นมาชิ้นหนี่ง เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับ การรำลึกถึงพระเจ้า โดยที่ Egon ได้เขียนภาพอาหารมื้อสุดท้าย (The last supper) โดยเขียนใบหน้าของตนเองแทนพระพักตร์ของพระคริสต์ ถึงแม้ว่าจะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่งานในครั้งนั้นก็สำเร็จลงด้วยดี ทำให้ Egon มีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับที่ผลงานของเขามีราคาสูงขึ้นอีก 3 เท่าตัว และ Egon ยังได้รับข้อเสนอให้เขียนภาพเหมือนบุคคลเป็นจำนวนมากอีกด้วย

Egon และ Edith ได้ย้ายมาอยู่ในบ้าน และ studio หลังใหม่ ซึ่งใหญ่โตโอ่โถง ดูเหมือนชีวิตใหม่ของ Egon กำลังโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากแต่ว่าความสุขนั้นอยู่กับ Egon ได้ไม่นาน ในวันที่ 19 ตุลาคม 1918 Edith ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ ได้ติดเชื้อไข้หวัดชนิดหนึ่ง (Spanish influenza) ซึ่งระบาดในประเทศแถบยุโรปในขณะนั้น เธอเสียชีวิตในวันที่ 28 ตุลาคม 1918 ยังความสลดใจอย่างมากแก่ Egon และเขาก็เสียชีวิตด้วยโรคเดียวกัน ในวันที่ 31 ตุลาคม 1918 ปีเดียวกัน เป็นการปิดฉากชีวิตอันน่าเศร้าของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่นาม Egon Schiele

………………………………………………………….

ไม่มีความคิดเห็น: